ผักไม่ควรกินดิบ 6 ผักที่ไม่ควรกินดิบ อันตรายถึงชีวิต
ผักไม่ควรกินดิบ โดยปกติแล้ว ผักเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมาก เพื่อให้วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ตามที่ร่างกายต้องการ แต่ ผัก ก็มีทั้ง ประโยชน์และโทษของผัก หากเรากินแบบผิดวิธีหรือไม่ผ่านการปรุงที่ถูกต้อง ผักห้ามกินดิบ บางชนิด เนื่องจากมีสารบางอย่างที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหากรับประทานในปริมาณมากหรือเป็นประจำ 6 ผักที่ไม่ควรกินดิบ ได้แก่
1.มันฝรั่ง
มันฝรั่ง เป็นพืชที่ไม่ควรกินดิบ เนื่องจากมีสารไกลโคแอลคาลอยด์ (Glycoalkaloids) ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้หากรับประทานในปริมาณมาก
สารไกลโคแอลคาลอยด์มีอยู่ตามธรรมชาติในมันฝรั่งทุกชนิด แต่จะพบมากในมันฝรั่งที่แก่ เนื้อสัมผัสแข็ง หน่อที่งอกออกมาจากหัวมันฝรั่ง และเปลือกมันฝรั่ง
การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยทำลายสารไกลโคแอลคาลอยด์ได้ ดังนั้น การรับประทานมันฝรั่งที่ปรุงสุกจึงปลอดภัยกว่าการรับประทานมันฝรั่งดิบ หากกินดิบอาจจะมีอาการ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
2.หน่อไม้
หน่อไม้ เป็นพืชที่ไม่ควรกินดิบ เนื่องจากเป็น ผักที่มีไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้หากรับประทานในปริมาณมาก
สารไซยาไนด์มีอยู่ตามธรรมชาติในหน่อไม้ทุกชนิด แต่จะพบมากในหน่อไม้ที่อ่อนและอ่อนนุ่ม หน่อไม้ที่แก่จะมีสารไซยาไนด์น้อยกว่า
ปริมาณสารไซยาไนด์ในหน่อไม้ดิบนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุของหน่อไม้ สภาพการเจริญเติบโต และวิธีการปรุงอาหาร หากกินดิบจะทำให้เกิดอาการ เป็นลม ขาดออกซิเจน ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ควรทำหน่อไม้ไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 10 นาที เพื่อทำลายสารตัวนี้
3.ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาว เป็นพืชที่ไม่ควรกินดิบ เนื่องจากมีสารไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) และเลคติน (Lectin) ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้หากรับประทานในปริมาณมาก ควรนำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 2-5 นาที
4.ถั่วงอก
ถั่วงอก เป็นผักที่ไม่ควรกินดิบ เนื่องจากมีสารโซเดียมซัลไฟต์ (Sodium Sulfite) ซึ่งเป็นสารฟอกขาวที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางราย เช่น หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน
สารโซเดียมซัลไฟต์ถูกนำมาใช้เพื่อทำให้ถั่วงอกมีสีขาวและดูน่ารับประทาน แต่สารนี้อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หากรับประทานในปริมาณมากหรือเป็นประจำ
5.กะหล่ำปลี
ผักกะหล่ำ ดิบมีสารกอยโตรเจน (Goitrogens) ซึ่งเป็นสารที่ขัดขวางการทำงานของไทรอยด์ หากรับประทานกะหล่ำปลีดิบในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการคอหอยพอกได้
สารกอยโตรเจนมีอยู่ตามธรรมชาติในผักตระกูลกะหล่ำปลี เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก หัวไชเท้า หัวผักกาด ผักกาดหอม เป็นต้น
การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยทำลายสารกอยโตรเจนได้ ดังนั้น การรับประทานกะหล่ำปลีที่ปรุงสุกจึงปลอดภัยกว่าการรับประทานกะหล่ำปลีดิบ
6.ผักโขม
ผักโขม ดิบมีกรดออกซาเลต (Oxalic Acid) ซึ่งเป็นสารที่อาจจับกับแคลเซียมในร่างกาย ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนิ่วในไตได้
กรดออกซาเลตมีอยู่ตามธรรมชาติในผักโขมทุกชนิด แต่จะพบมากในผักโขมที่ใบสีเขียวเข้ม
การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยทำลายกรดออกซาเลตได้ ดังนั้น การรับประทานผักโขมที่ปรุงสุกจึงปลอดภัยกว่าการรับประทานผักโขมดิบ ควรปรุง ผัก โขม ไทย ให้สุกด้วยความร้อนอย่างน้อย 5 นาที
นอกจากนี้ ผักสวนครัว บางชนิดที่รับประทานสดได้ก็อาจปนเปื้อนแบคทีเรียหรือสารเคมีได้หากล้างไม่สะอาด ดังนั้นจึงควรล้างผักให้สะอาดก่อน กิน ผัก เสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวไทย อสมท
อ่านข้อมูลน่าสนใจ : อาหารนานาชาติ